โรคหัวใจ (Heart Disease) หมายถึง โรคต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจ โดยโรคหัวใจสามารถแบ่งย่อยได้เป็นหลายกลุ่มโรค เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคกล้ามเนื้อหัวใจ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคลิ้นหัวใจ โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด และโรคติดเชื้อบริเวณหัวใจ เป็นต้น
จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขในช่วงปี พ.ศ. 2555-2558 อัตราผู้ป่วยโรคหัวใจในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี พ.ศ. 2557 มีผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดจำนวน 58,681 คน หรือโดยเฉลี่ยถึงชั่วโมงละ 7 คน และยังมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
ทั้งนี้สาเหตุสำคัญของโรคหัวใจ โดยเฉพาะโรคหลอดเลือดหัวใจนั้นมักเกิดจากปัจจัยเสี่ยงด้านพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่สามารถป้องกันได้ เช่น การสูบหรือสูดดมควันบุหรี่ การรับประทานอาหารบางประเภท เช่น อาหารไขมันสูง อาหารหวาน และอาหารเค็มที่ควรหลีกเลี่ยง นอกจากนี้ยังควรควบคุมน้ำหนัก รวมถึงหมั่นตรวจสุขภาพวัดระดับความดันโลหิตและระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำ
อาการของโรคหัวใจ
ความผิดปกติที่เกิดขึ้นในส่วนของหัวใจที่ต่างกัน ทำให้โรคหัวใจมีอาการต่างกันไปในแต่ละชนิด
- โรคหลอดเลือดหัวใจ มักส่งผลให้มีอาการเจ็บหรือแน่นหน้าอก ร้าวไปตามกราม แขน ลำคอ ท้อง หรือบริเวณหลัง และบางครั้งอาจมีอาการเหนื่อย อ่อนเพลีย ไม่มีแรง หรือหมดสติได้
- โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ มีอาการผิดปกติของจังหวะการเต้นของหัวใจ อาจเต้นเร็วผิดปกติ ช้าผิดปกติ หรือเต้นไม่สม่ำเสมอ ทำให้รู้สึกใจสั่น แต่บางครั้งอาจแสดงอาการเหนื่อยง่าย แน่นหน้าอก เวียนศีรษะ หรือคล้ายจะเป็นลมได้เช่นกัน
- โรคกล้ามเนื้อหัวใจ ผู้ป่วยที่มาพบแพทย์มักมีอาการเหนื่อยง่าย หายใจไม่อิ่ม และมีอาการมากขึ้นเมื่อต้องออกแรงหนัก ๆ ส่วนโรคกล้ามเนื้อหัวใจที่รุนแรงมากขึ้นจะทำให้มีอาการเหนื่อยแม้ขณะนั่งอยู่เฉย ๆ มีอาการบวมตามแขน ขา หนังตา ร่วมกับอาการอ่อนเพลีย นอนราบไม่ได้ และตื่นขึ้นมาไอในเวลากลางคืน
- โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด เป็นโรคที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อทารกอยู่ในครรภ์มารดา โดยอาจแสดงอาการทันทีเมื่อแรกคลอด หรือแสดงอาการมากขึ้นในภายหลังก็ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค และสามารถแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก ๆ คือกลุ่มที่มีอาการเขียวและกลุ่มไม่มีอาการเขียว ในกลุ่มที่มีอาการยังไม่รุนแรงมากอาจสังเกตได้ในภายหลัง เช่น เหนื่อยง่ายเวลาออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมเมื่อเทียบกับเด็กวัยเดียวกัน แต่ในกลุ่มที่มีอาการมากจะทำให้เลี้ยงไม่โต ทารกมีอาการเหนื่อยขณะให้นมหรือติดเชื้อทางเดินหายใจบ่อย ๆ เป็นต้น
- โรคลิ้นหัวใจ อาการของโรคขึ้นอยู่กับความผิดปกติของลิ้นหัวใจที่เกิดขึ้น ในกลุ่มที่มีความผิดปกติเพียงเล็กน้อยอาจไม่แสดงอาการใด ๆ หรืออาจได้ยินเสียงผิดปกติจากการตรวจร่างกายเท่านั้น แต่หากมีความผิดปกติของลิ้นหัวใจมากก็จะมีอาการเหนื่อยง่าย และเกิดภาวะหัวใจวายหรือน้ำท่วมปอดได้
- โรคติดเชื้อบริเวณหัวใจ อาการที่แสดงถึงโรคนี้ ได้แก่ มีไข้ โดยมักจะเป็นไข้เรื้อรัง อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า หัวใจเต้นผิดปกติ หายใจหอบเหนื่อย ไอเรื้อรังแห้ง ๆ ขาหรือช่องท้องบวม รวมถึงมีผื่นหรือจุดขึ้นตามผิวหนัง
สาเหตุของโรคหัวใจ
เช่นเดียวกันกับอาการ สาเหตุของโรคหัวใจแต่ละชนิดมีที่มาต่างกัน ดังนี้
- โรคหลอดเลือดหัวใจ สาเหตุส่วนมากเกิดจากไขมันหรือแคลเซียมที่สะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ ในหลอดเลือดจนขัดขวางทางเดินเลือด ทำให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้ไม่เพียงพอ นอกจากนี้ยังมักมีสาเหตุมาจากปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในหลอดเลือดสูง น้ำหนักเกิน และสูบบุหรี่
- โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ อาจเกิดขึ้นในผู้ป่วยบางรายที่เดิมมีความผิดปกติของหัวใจอยู่แล้วหรือเกิดกับคนทั่วไปที่มีหัวใจปกติก็ได้ ซึ่งสาเหตุอาจเกิดจากการถูกไฟฟ้าช็อต การใช้สารเสพติด ยา อาหารเสริมบางชนิด รวมทั้งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และคาเฟอีน นอกจากนี้อาจเป็นความเสี่ยงจากอาการเจ็บป่วยโรคหัวใจอื่น ๆ เช่น โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคลิ้นหัวใจ หรือโรคอื่น ๆ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง
- โรคกล้ามเนื้อหัวใจ มีสาเหตุต่างกันไปตามความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อหัวใจ โรคกล้ามเนื้อหัวใจเสื่อม อาจเกิดจากการไหลเวียนของเลือดสู่หัวใจน้อยลง การได้รับยาหรือสารพิษบางชนิด การติดเชื้อ และพันธุกรรม ส่วนโรคกล้ามเนื้อหัวใจหนามักเป็นผลจากพันธุกรรมและอายุที่มากขึ้น และโรคกล้ามเนื้อหัวใจถูกบีบรัด ที่กล้ามเนื้อหัวใจแข็งและยืดหยุ่นน้อยลง อาจเป็นผลมาจากโรคอื่น เช่น เนื้อเยื่อเกี่ยวพันผิดปกติ ภาวะธาตุเหล็กมากเกิน หรือการรักษามะเร็งด้วยเคมีบำบัด รังสีบำบัด เป็นต้น
- โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด อาจเป็นภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์ของมารดาที่ทำให้ทารกคลอดก่อนกำหนด การใช้ยาหรือสารเสพติดบางชนิดขณะตั้งครรภ์ การติดเชื้อของมารดาระหว่างตั้งครรภ์ รวมทั้งอาจเกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมก็ได้
- โรคลิ้นหัวใจ สามารถเกิดขึ้นได้ในผู้ที่มีลิ้นหัวใจผิดปกติหรือทำงานบกพร่องมาแต่กำเนิด หรือเป็นโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคอื่น ๆ เช่น ไข้รูมาติก เยื่อบุหัวใจอักเสบ หรือเนื้อเยื่อเกี่ยวพันผิดปกติ
- โรคติดเชื้อบริเวณหัวใจ เกิดขึ้นได้จากการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือปรสิต รวมทั้งการทำหัตถการทางการแพทย์ การใช้สารเสพติด และมีการเหนี่ยวนำให้เกิดการติดเชื้อที่บริเวณหัวใจตามมา
การวินิจฉัยโรคหัวใจ
แพทย์มักเริ่มด้วยการตรวจร่างกายเบื้องต้น สอบถามอาการ ประวัติการเจ็บป่วย รวมถึงบุคคลในครอบครัวที่เคยป่วยเป็นโรคหัวใจ จากนั้นจึงพิจารณาความเป็นไปได้แล้วเลือกวิธีวินิจฉัยขั้นต่อไป ซึ่งอาจเป็นการตรวจเลือด เอกซเรย์หน้าอก ตรวจหัวใจด้วยเครื่อง CT Scan หรือ MRI ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ตรวจบันทึกการทำงานของหัวใจ หรือตรวจด้วยการสวนหลอดเลือดหัวใจ ตามข้อบ่งชี้ทางการแพทย์
การรักษาโรคหัวใจ
การรักษาโรคหัวใจจะรักษาตามสาเหตุที่ตรวจพบและรักษาตามอาการที่ผู้ป่วยเป็นในขณะนั้น เช่น การทำหัตถการสวนหัวใจ การผ่าตัดหัวใจ ร่วมกับการใช้ยารักษา รวมถึงการให้คำแนะนำในการควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง การสูบบุหรี่ ความเครียด และเพิ่มการออกกำลังกาย การปรับพฤติกรรมการบริโภคโดยแนะนำให้ลดอาการเค็ม อาหารหวาน และอาหารที่มีไขมันสูง
ภาวะแทรกซ้อนของโรคหัวใจ
โรคหัวใจชนิดต่าง ๆ อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่แตกต่างกัน ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยที่สุด คือ หัวใจล้มเหลว เกิดขึ้นได้จากโรคหัวใจทุกชนิด ส่วนภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ อาจขึ้นอยู่กับโรคหัวใจที่ผู้ป่วยเป็นด้วย เช่น โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ อาจทำให้เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน ส่วนกลุ่มโรคหลอดเลือดหัวใจอาจตามมาด้วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน โรคหลอดเลือดในสมองขาดเลือด โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ และโรคหลอดเลือดแดงโป่งพอง ซึ่งภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้สามารถนำไปสู่การเสียชีวิตอย่างฉับพลันได้
การป้องกันโรคหัวใจ
การป้องกันโรคหัวใจด้วยตนเองทำได้โดยปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และหมั่นตรวจร่างกายเพื่อควบคุมระดับความดันและไขมันในเลือดเป็นประจำ การรับประทานอาหารและออกกำลังกายเป็นสิ่งสำคัญ ควรเน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช ลดปริมาณไขมัน โซเดียม และน้ำตาลให้น้อย หมั่นออกกำลังกาย ควบคุมน้ำหนัก หยุดสูบบุหรี่ นอกจากนี้ ความเศร้าและความเครียดก็อาจเป็นปัจจัยการเกิดโรคหัวใจได้ จึงควรพยายามผ่อนคลายให้มาก รวมทั้งรักษาสุขอนามัยให้ถูกต้องอยู่เสมอเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อบริเวณหัวใจ
อาการของ โรคหัวใจ
อาการของโรคหัวใจทั้ง 6 ชนิด ได้แก่ โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคกล้ามเนื้อหัวใจ โรคลิ้นหัวใจ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด และโรคติดเชื้อที่เยื่อบุหัวใจ ย่อมแสดงแตกต่างกันไปตามแต่ละประเภทของโรค ดังนี้
อาการของโรคหลอดเลือดหัวใจ ภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบหรือตันจะทำให้เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงหัวใจได้เพียงพอ ผู้ป่วยส่วนมากมีอาการแน่นหรือเจ็บหน้าอกซึ่งมักจะคงอยู่นานเป็นนาทีขึ้นไป อาจมีอาการเจ็บร้าวไปถึงไหล่ กราม แขน หลัง หรือบริเวณท้องเหนือสะดือขึ้นไป และในบางรายอาจมีอาการเหงื่อแตก ใจสั่น หน้ามืด หรือหมดสติร่วมด้วยได้ โดยอาการของโรคสามารถแบ่งย่อยเป็น 2 กลุ่มหลัก ๆ ได้คือ
- กลุ่มที่เส้นเลือดหัวใจตีบเฉียบพลัน ผู้ป่วยมักจะมีอาการดังกล่าวข้างต้นขึ้นมาทันที โดยอาจไม่มีอาการผิดปกตินำมาก่อน
- กลุ่มที่มีเส้นเลือดหัวใจตีบเรื้อรัง มักมีอาการแน่นหน้าอกหรือเหนื่อยง่ายเวลาออกแรงหนัก ๆ แต่เมื่อนั่งพักหรืออมยาใต้ลิ้นแล้วอาการจึงดีขึ้น
ทั้งนี้อาการของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจในเพศชายและเพศหญิงอาจมีความแตกต่างกัน เช่น เพศชายอาจมีโอกาสที่จะเกิดอาการเจ็บหน้าอกได้มากกว่า ส่วนอาการที่มักเกิดกับผู้หญิง ได้แก่ หายใจหอบเหนื่อย คลื่นไส้ และอ่อนล้าอย่างมาก
โรคหลอดเลือดหัวใจอาจวินิจฉัยไม่พบหากเส้นเลือดหัวใจไม่ได้ตีบมาก ผู้ที่กังวลว่าตนอาจเสี่ยงเป็นโรคนี้จึงควรหมั่นสังเกตตนเองและพูดคุยปรึกษาแพทย์ให้บ่อยเมื่อมีอาการผิดปกติใด ๆ
อาการของโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ จังหวะของหัวใจที่เต้นผิดปกติโดยอาจเต้นเร็วเกิน ช้าเกิน หรือเต้นไม่สม่ำเสมอ สามารถทำให้มีอาการผิดปกติต่าง ๆ ตามมา ผู้ที่มีอาการใด ๆ ต่อไปนี้บ่อยครั้ง หรือมีอาการขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
- หัวใจสั่นรัว
- หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
- หัวใจเต้นช้าผิดปกติ
- เจ็บหน้าอกหรือรู้สึกไม่ค่อยสบาย
- หายใจเหนื่อยหอบ
- เวียนศีรษะ มึนงง
- เป็นลมหมดสติ หรือคล้ายจะเป็นลม
- มีเหงื่อออก
อาการของโรคกล้ามเนื้อหัวใจ เป็นภาวะความผิดปกติที่กล้ามเนื้อหัวใจโดยตรง อาจมีทั้งกล้ามเนื้อหัวใจหนาขึ้นผิดปกติหรือกล้ามเนื้อหัวใจบางลง ซึ่งในระยะแรก ผู้ป่วยอาจไม่แสดงอาการ จนเมื่อรุนแรงขึ้นจึงมักตามมาด้วยอาการต่อไปนี้
- รู้สึกหายใจไม่อิ่มเมื่อต้องออกแรง หรือแม้ขณะนั่งพัก
- ขา เท้า หรือข้อเท้าบวม
- เหนื่อยล้า
- หัวใจเต้นผิดปกติ โดยเต้นเร็วหรือสั่นรัว
- วิงเวียนศีรษะ คล้ายจะเป็นลม
- เจ็บหน้าอก
- ท้องอืด
- อาการเหนื่อยหรือไอเมื่อนอนราบ
อาการของโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด เป็นภาวะบกพร่องที่มีมาแต่กำเนิด โดยอาจตรวจพบได้ตั้งแต่แรกคลอดหรือไม่นานหลังคลอด เด็กที่เป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดอาจแสดงอาการดังนี้
- สีผิวเป็นสีเทาหรือเขียว
- ขา ช่องท้อง หรือบริเวณรอบดวงตาบวม
- ในเด็กทารกจะมีอาการหายใจเหนื่อยหอบหรือภาวะเขียวขณะดูดนม ส่งผลให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นน้อย
ด้านโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดที่มีอาการรุนแรงไม่มากอาจไม่สามารถวินิจฉัยได้จนกว่าจะถึงช่วงวัยเด็กหรือวัยผู้ใหญ่ โดยสัญญาณอาการของโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดชนิดรุนแรงน้อยลงมาที่มักไม่ส่งผลอันตรายถึงชีวิตในทันทีทันใด ได้แก่ เหนื่อยหรือหายใจหอบง่ายหลังจากออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ เมื่อเทียบกับเด็กในวัยเดียวกัน และเมื่อเริ่มเป็นมากขึ้นอาจมีภาวะบวมที่บริเวณมือ เท้า รอบดวงตา หรือภาวะเขียวได้
อาการของโรคลิ้นหัวใจ ในหัวใจคนเรามีลิ้นปิดเปิดระหว่างแต่ละห้องเพื่อให้เลือดไหลผ่านหัวใจทั้งหมด 4 ลิ้น ลิ้นหัวใจทั้ง 4 นี้อาจได้รับความเสียหายจนทำให้ลิ้นหัวใจตีบลง ลิ้นหัวใจรั่ว หรือลิ้นหัวใจปิดได้ไม่ดี ซึ่งลิ้นหัวใจที่เกิดความผิดปกติแต่ละลิ้นอาจแสดงอาการแตกต่างกันไป แต่โดยทั่วไปมักทำให้มีอาการต่อไปนี้
- อ่อนเพลีย
- หายใจหอบเหนื่อย
- หัวใจเต้นผิดจังหวะ
- เจ็บหน้าอก
- เป็นลมหมดสติ
- เท้าหรือข้อเท้าบวม
อาการโรคติดเชื้อบริเวณหัวใจ โรคหัวใจชนิดนี้สามารถแบ่งได้เป็น 3 ชนิด ได้แก่ เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ เป็นการติดเชื้อที่ส่งผลต่อบริเวณรอบหัวใจ ชนิดต่อมาคือกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบซึ่งจะมีผลต่อการบีบของหัวใจตามมา และสุดท้าย ลิ้นหัวใจอักเสบ เป็นการติดเชื้อบริเวณลิ้นหัวใจที่ทำให้การทำงานของลิ้นหัวใจผิดปกติไป
โรคติดเชื้อบริเวณหัวใจทั้ง 3 ชนิดนี้มีอาการแตกต่างกันได้บ้างตามตำแหน่งที่มีการติดเชื้อ ซึ่งโดยรวมมักก่อให้เกิดอาการดังนี้
- มีไข้ โดยส่วนใหญ่มักเป็นไข้เรื้อรัง
- อ่อนเพลียหรือเหนื่อยล้า
- หายใจหอบเหนื่อย
- ไอแห้ง ๆ อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน
- จังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติ
- อาการบวมที่ขาหรือช่องท้อง
- มีผื่นหรือจุดผิดปกติขึ้นบนผิวหนัง
โรคหัวใจชนิดใดก็ตาม หากตรวจพบในระยะแรก ๆ ก็จะทำให้การรักษาทำได้ง่ายขึ้น ผู้ที่มีความกังวลหรือมีความเสี่ยงทางพันธุกรรมจึงควรหมั่นปรึกษาแพทย์ เพื่อลดโอกาสของการเกิดโรคหัวใจ และหากมีอาการเจ็บหน้าอก หายใจหอบเหนื่อย หรือเป็นลมหมดสติ ซึ่งอาจเป็นอาการของโรคหัวใจ ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน
สาเหตุของ โรคหัวใจ
สาเหตุของโรคหัวใจแต่ละประเภทนั้นแตกต่างกันไป เนื่องจากหัวใจประกอบด้วยการทำงานของหลายส่วนร่วมกัน โรคหัวใจแต่ละชนิดมีสาเหตุดังนี้
สาเหตุของโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดหัวใจหมายถึงความบกพร่องของหลอดเลือดหัวใจ มีหลากหลายชนิด แต่ส่วนมากมักใช้เรียกภาวะหลอดเลือดแดงตีบ ซึ่งเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจที่พบได้บ่อยที่สุด และเป็นภาวะที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อหัวใจหรือหลอดเลือดหัวใจตามมา
ภาวะหลอดเลือดแดงตีบนี้เกิดจากการสะสมของไขมันในหลอดเลือดแดงที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนผนังของหลอดเลือดหนาและแข็งตัว เป็นอุปสรรคต่อการไหลเวียนของเลือดผ่านหลอดเลือดแดง ทำให้อวัยวะและเนื้อเยื่อต่าง ๆ ที่เชื่อมต่อกับหลอดเลือดแดงดังกล่าวได้รับเลือดไปหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอ และเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันตามมาได้
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบจะยิ่งมีความเสี่ยงในผู้ที่มีอายุมาก มีความดันโลหิตสูง คอเลสเตอรอลสูง ผู้ป่วยเบาหวาน และผู้ป่วยโรคอ้วน ส่วนพฤติกรรมการใช้ชีวิตก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ เช่น การรับประทานอาหารไม่มีประโยชน์ ไม่ออกกำลังกาย มีน้ำหนักมากเกิน หรือสูบบุหรี่
สาเหตุของโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ
ผู้ที่มีสุขภาพดีและหัวใจทำงานเป็นปกติมักมีโอกาสน้อยที่จะพัฒนาไปเป็นโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะโดยปราศจากปัจจัยอื่น ๆ เช่น การถูกไฟฟ้าช็อตหรือการใช้สารเสพติดกระตุ้น แต่บางครั้งภาวะเครียด พักผ่อนน้อย และไม่ได้ออกกำลังกายก็อาจทำให้มีอาการของหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดที่ไม่เกิดอันตราย แต่สร้างความรำคาญได้เช่นกัน
ส่วนผู้ป่วยที่หัวใจทำงานผิดปกติหรือมีปัญหาอยู่แล้ว อาจทำให้กระแสไฟฟ้าในหัวใจไม่สามารถผ่านไปทั่วหัวใจได้ตามปกติ รวมทั้งเป็นจุดที่สร้างสัญญาณไฟฟ้าที่ผิดปกติเอง จึงเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจเต้นผิดปกติได้ง่ายกว่า
ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อไปนี้ อาจยิ่งมีโอกาสเสี่ยงเกิดโรคหัวใจเต้นผิดปกติตามมา
- ผู้ป่วยโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด
- ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ
- ผู้ป่วยโรคลิ้นหัวใจ
- ผู้ป่วยเบาหวาน
- มีความดันโลหิตสูง
- สูบบุหรี่
- ดื่มแอลกอฮอล์หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนมากเกินไป
- ใช้สารเสพติด
- ใช้ยา อาหารเสริม หรือการใช้สมุนไพรบางชนิด
- เครียด
สาเหตุของโรคกล้ามเนื้อหัวใจ ขึ้นอยู่กับโรคกล้ามเนื้อหัวใจแต่ละชนิด
- กล้ามเนื้อหัวใจเสื่อม เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจที่พบได้บ่อยที่สุด โดยอาจเป็นผลจากการไหลเวียนของเลือดไปสู่หัวใจที่ลดน้อยลง การติดเชื้อ การได้รับสารพิษหรือยาบางชนิด รวมถึงการได้รับพันธุกรรมถ่ายทอด โรคกล้ามเนื้อหัวใจชนิดนี้มักส่งผลให้หัวใจห้องล่างซ้ายมีขนาดโตขึ้น ผนังหัวใจบางลง และมีการบีบตัวของหัวใจที่แย่ลง
- โรคกล้ามเนื้อหัวใจหนา ผู้ป่วยมักมีกล้ามเนื้อหัวใจหนาผิดปกติ โดยมักเป็นผลจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม หรือเกิดการพัฒนาของโรคไปตามเวลา เนื่องจากอายุที่มากขึ้นหรือความดันโลหิตที่สูงขึ้น
- โรคกล้ามเนื้อหัวใจถูกบีบรัด ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจที่แข็งและยืดหยุ่นน้อยลง ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้โดยไม่ทราบสาเหตุ หรือเป็นผลจากการป่วยเป็นโรคอื่น ๆ เช่น โรคเนื้อเยื่อเกี่ยวพันผิดปกติ ภาวะที่ร่างกายสร้างหรือรับธาตุเหล็กมากเกิน หรืออาจเป็นผลจากกระบวนการรักษาโรคมะเร็ง เช่น การทำเคมีบำบัดและการใช้รังสีบำบัด
สาเหตุของโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด
โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดมักเกิดขึ้นระหว่างที่ทารกอยู่ในครรภ์ โดยประมาณ 1 เดือนหลังจากการตั้งครรภ์ ขณะที่หัวใจของทารกกำลังมีการพัฒนานั้น โรคนี้ก็เกิดขึ้นไปพร้อมกัน และจะส่งผลให้การไหลของเลือดในหัวใจเกิดความเปลี่ยนแปลง ซึ่งสาเหตุของโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดอาจเป็นผลมาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น โรคชนิดอื่น การใช้ยา การติดเชื้อระหว่างตั้งครรภ์ และการได้รับพันธุกรรมถ่ายทอด
ทั้งนี้ไม่เพียงแต่ทารกในครรภ์เท่านั้น ในบางรายที่มีอาการของโรครุนแรงน้อยกว่า อาการอาจพัฒนาขึ้นได้ภายหลังเมื่ออายุมากขึ้น
สาเหตุของโรคลิ้นหัวใจ เกิดขึ้นได้จากหลากหลายปัจจัย อาจมีลิ้นหัวใจผิดปกติมาแต่กำเนิด เช่น ขนาดของลิ้นผิดปกติ ใบลิ้นทำงานบกพร่อง หรือใบลิ้นยึดติดไม่พอดี หรือเป็นภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นตามมาจากโรคชนิดอื่น เช่น ไข้รูมาติก โรคที่เกิดจากการรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียไม่หมดจนเชื้อแพร่ไปสู่หัวใจ โรคเยื่อบุหัวใจอักเสบ หรือเนื้อเยื่อเกี่ยวพันผิดปกติ เป็นต้น
สาเหตุของโรคติดเชื้อบริเวณหัวใจ โรคติดเชื้อบริเวณหัวใจทั้ง 3 ชนิด ได้แก่ เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ และลิ้นหัวใจอักเสบ มีสาเหตุมาจากสิ่งก่อความระคายเคืองอย่างเชื้อไวรัส แบคทีเรีย ปรสิต หรือสารเคมีที่แพร่เข้าไปยังหัวใจ และเป็นสาเหตุของการติดเชื้อในที่สุด
ปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจ
นอกจากสาเหตุของโรคหัวใจแต่ละชนิดที่กล่าวไปแล้ว ปัจจัยและพฤติกรรมต่าง ๆ ที่สามารถเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ยังมีดังนี้
- อายุมากขึ้น ยิ่งอายุมาก ความเสี่ยงหลอดเลือดแดงหัวใจตีบลงก็ยิ่งเพิ่มสูง และยังเสี่ยงต่อกล้ามเนื้อหัวใจที่อ่อนแอลงหรือหนาขึ้นอีกด้วย
- เพศชาย มีโอกาสเกิดโรคหัวใจได้มากกว่าเพศหญิง อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงต่อโรคหัวใจในเพศหญิงจะเพิ่มขึ้นเมื่อถึงวัยหมดประจำเดือน
- บุคคลในครอบครัวเป็นโรคหัวใจ ผู้ที่มีบุคคลในครอบครัวป่วยเป็นโรคหัวใจจะยิ่งเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีบิดาหรือมารดาหรือญาติที่ป่วยเป็นโรคหัวใจเร็วเกินควร โดยในผู้ชายนับที่ก่อนอายุ 55 ปี ส่วนในผู้หญิงก่อนอายุ 65 ปี
- โรคเบาหวาน ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานนั้นมีความเสี่ยงต่อความผิดปกติของหลอดเลือดทั่วร่างกาย โดยเฉพาะหลอดเลือดหัวใจที่มีโอกาสเกิดการตีบตันเพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน
- โรคอ้วน น้ำหนักที่มากเกินผิดปกติจะยิ่งทำให้มีโอกาสเสี่ยงโรคหัวใจมากกว่าเดิม หากมีปัจจัยเสี่ยงข้ออื่น ๆ อยู่แล้วด้วย
- ความดันโลหิตสูง ความดันโลหิตสูงที่ไม่ได้รับการรักษาหรือควบคุมให้เป็นปกติจะยิ่งทำให้หลอดเลือดแดงแข็งและหนาขึ้น เป็นสาเหตุให้เลือดไหลผ่านไปสู่อวัยวะอื่น ๆ ได้ไม่เพียงพอ และนำไปสู่ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันได้
- ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูง เพิ่มโอกาสการเกิดคราบตะกรันในหลอดเลือด และจะส่งผลให้มีการขัดขวางทางเดินเลือดที่ส่งไปเลี้ยงหัวใจ
- การสูบบุหรี่ สารพิษหลายชนิดในบุหรี่มีผลทำให้หลอดเลือดหัวใจมีความผิดปกติ ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตามมาได้ง่าย นอกจากนี้โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันหรือหัวใจวายก็ยังพบได้ในผู้ที่สูบบุหรี่มากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่
- การรับประทานอาหาร อาหารที่ประกอบไปด้วยไขมัน เกลือ น้ำตาล หรือคลอเรสเตอรอลปริมาณสูง หากรับประทานบ่อย ๆ เป็นประจำจะยิ่งเสี่ยงพัฒนาเกิดโรคหัวใจในที่สุด
- ไม่ออกกำลังกาย การไม่ออกกำลังกายเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สามารถนำไปสู่การเกิดโรคหัวใจหลาย ๆ ประเภท
- การไม่รักษาสุขอนามัย การไม่หมั่นรักษาความสะอาดและสุขอนามัยในชีวิตประจำวัน เป็นพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียต่าง ๆ และเพิ่มโอกาสเสี่ยงการติดเชื้อบริเวณหัวใจ โดยเฉพาะผู้ที่ป่วยเป็นโรคหัวใจชนิดอื่น ๆ อยู่ก่อนแล้ว
- ความเครียด ความเครียดที่ไม่ได้รับการผ่อนคลาย มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ
การวินิจฉัย โรคหัวใจ
การวินิจฉัยโรคหัวใจไม่ว่าชนิดใดก็ตาม ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์ โดยสันนิษฐานจากอาการของผู้ป่วยว่าน่าจะเป็นโรคหัวใจชนิดใด ในขั้นแรกแพทย์มักทำการตรวจร่างกายเบื้องต้นและถามถึงประวัติการป่วยโรคต่าง ๆ ของผู้ป่วย รวมถึงครอบครัวของผู้ป่วยก่อนที่จะทำการวินิจฉัยขั้นต่อไป อาจใช้การเอกซเรย์หน้าอก ตรวจเลือด หรือการวินิจฉัยอื่น ๆ ดังนี้
การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG) กระบวนการตรวจบันทึกสัญญาณไฟฟ้า เพื่อช่วยให้แพทย์ตรวจหาความผิดปกติของจังหวะและโครงสร้างของหัวใจ ผู้ป่วยอาจได้รับการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะพัก หรือการตรวจในระหว่างออกกำลังกายที่เรียกว่าการตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย (Exercise Stress Test)
การตรวจบันทึกการทำงานของหัวใจ (Holter Monitoring) การตรวจชนิดนี้ใช้ตรวจหาความผิดปกติของจังหวะการเต้นของหัวใจเพิ่มเติม กรณีที่การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจไม่สามารถตรวจพบความผิดปกติ แพทย์จะใช้อุปกรณ์ที่สามารถพกพาได้คอยตรวจบันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจของคนไข้อย่างต่อเนื่อง โดยเวลาที่ใช้ในการตรวจมักอยู่ที่ 24-72 ชั่วโมง
การตรวจหัวใจด้วยคลื่นความถี่สูง หรือการอัลตราซาวด์ที่หน้าอกเพื่อให้แพทย์มองเห็นการทำงานและโครงสร้างภายในของหัวใจ
การสวนหลอดเลือดหัวใจ โดยการใช้ท่อสั้น ๆ สอดเข้าไปยังหลอดเลือดดำหรือหลอดเลือดแดงบริเวณต้นขาหรือแขน จากนั้นจึงใช้ท่อกลวงที่ยืดหยุ่นและมีความยาวกว่าใส่ไปในท่อสั้นท่อแรก แล้วแหย่หลอดสวนดังกล่าวจนไปถึงหัวใจ โดยระหว่างนี้จะมีภาพจากจอเครื่องเอกซเรย์คอยช่วยนำทาง จากนั้นแพทย์จะวัดแรงดันในห้องหัวใจ หรืออาจฉีดสารทึบแสงเข้าไปด้วย เพื่อช่วยให้มองเห็นการไหลเวียนของเลือดผ่านหัวใจจากเครื่องเอกซเรย์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และยังช่วยตรวจหาความผิดปกติของหลอดเลือดและลิ้นหัวใจได้ด้วย
การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หัวใจ (CT Scan) เป็นวิธีที่มักใช้วินิจฉัยโรคเกี่ยวกับหัวใจ ในขณะที่ผู้ป่วยนอนลงบนโต๊ะภายในอุปกรณ์รูปร่างคล้ายโดนัท ท่อเอกซเรย์ภายในเครื่องจะปรับหมุนไปรอบ ๆ ตัวผู้ป่วยเพื่อเก็บภาพของหัวใจและบริเวณหน้าอก
การตรวจหัวใจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) แพทย์จะให้ผู้ป่วยนอนลงบนโต๊ะภายใต้เครื่องมือลักษณะคล้ายท่อ ซึ่งจะปล่อยสนามคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมา สนามแม่เหล็กนี้ทำให้เกิดภาพและช่วยให้แพทย์สามารถประเมินความผิดปกติในหัวใจได้
การรักษา โรคหัวใจ
สำหรับการรักษาโรคหัวใจบางชนิดนั้น อาจรักษาให้หายขาดได้ บางชนิดทำได้เพียงรักษาให้อาการดีขึ้นแต่อาจไม่หายขาด ทั้งนี้ โรคหัวใจที่มีหลากหลายชนิดนั้นย่อมมีวิธีรักษาแตกต่างกัน แต่โดยทั่วไปแล้วมีวิธีรักษา ดังนี้
ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต ผู้ป่วยควรรับประทานอาหารไขมันต่ำและอาหารโซเดียมต่ำ ออกกำลังกายแบบพอประมาณอย่างน้อย 30 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน รวมทั้งเลิกสูบบุหรี่และลดปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นปัจจัยที่จะทำให้โรคหัวใจที่เป็นอยู่แย่ลง
ใช้ยารักษา หากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมยังไม่อาจช่วยบรรเทาอาการของโรคหัวใจได้ แพทย์อาจสั่งจ่ายยาให้รับประทานเพื่อควบคุมอาการของโรค โดยยาสำหรับโรคหัวใจแต่ละชนิดก็แตกต่างกันไปตามจุดประสงค์ของการรักษาโรคหัวใจนั้น ๆ
ใช้กระบวนการทางแพทย์หรือการผ่าตัดรักษา สำหรับผู้ป่วยที่แพทย์ลงความเห็นว่าไม่สามารถรักษาด้วยการใช้ยาเพียงอย่างเดียว แต่จะเป็นกระบวนการรักษาแบบใดก็ขึ้นอยู่กับชนิดของโรคหัวใจและระดับความรุนแรงของอาการ
ภาวะแทรกซ้อนของ โรคหัวใจ
ภาวะแทรกซ้อนของโรคหัวใจที่มีโอกาสเกิดขึ้นตามมา มีดังนี้
- หัวใจล้มเหลวหรือหัวใจวาย เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยที่สุดของโรคหัวใจ เมื่อหัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้อย่างเพียงพอ โดยภาวะหัวใจล้มเหลวนี้อาจเกิดขึ้นได้จากโรคที่เกี่ยวกับหัวใจหลาย ๆ โรค ไม่ว่าจะเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด โรคกล้ามเนื้อหัวใจ โรคติดเชื้อบริเวณหัวใจ หรือโรคลิ้นหัวใจ
- โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ภาวะหลอดเลือดแดงตีบตัวเป็นสาเหตุของลิ่มเลือดที่มาปิดกั้นการไหลเวียนของเลือดผ่านหลอดเลือดเพื่อไปเลี้ยงหัวใจ และอาจส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจในส่วนนั้น ๆ เสียหายหรือถูกทำลายจนเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน และทำให้เสียชีวิตได้
- โรคหลอดเลือดในสมองขาดเลือด เกิดขึ้นเมื่อหลอดเลือดแดงที่ส่งเลือดไปเลี้ยงสมองตีบตันลงหรือถูกปิดกั้นจนเลือดไหลไปเลี้ยงสมองน้อยลง ซึ่งถือว่าเป็นภาวะฉุกเฉินและอันตราย เนื่องจากจะส่งผลให้เนื้อเยื่อสมองเริ่มตายลงได้เพียงในไม่กี่นาทีหลังเกิดภาวะดังกล่าว
- โรคหลอดเลือดแดงโป่งพอง อีกภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกบริเวณของร่างกาย คือการโป่งพองของผนังหลอดเลือดแดง และหากหลอดเลือดที่มีปัญหานี้แตกออกก็อาจทำให้มีเลือดออกภายในและอันตรายถึงชีวิตได้
- โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ โรคหลอดเลือดแดงแข็งสามารถทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนชนิดนี้ตามมา โดยมักส่งผลกระทบถึงแขนขา ทำให้การไหลเวียนของเลือดในแขนขาไม่เพียงพอจนเกิดอาการเจ็บขาขณะเดิน และหากมีอาการตีบหรือตันมากบริเวณแขนหรือขาก็อาจทำให้มีสีคล้ำขึ้นได้
- ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน ภาวะสูญเสียการทำงานของหัวใจ การหายใจ และการรู้สึกตัวของหัวใจอย่างเฉียบพลัน โดยเป็นภาวะแทรกซ้อนที่มักเกิดจากโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ มีความอันตรายมากและจำเป็นต้องรีบรักษาโดยทันที ไม่เช่นนั้นจะส่งผลร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต
การป้องกัน โรคหัวใจ
การป้องกันโรคหัวใจสามารถทำได้ด้วยตนเอง โดยเป็นผลจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้ดีขึ้นตามข้อปฏิบัติต่อไปนี้
- ตรวจวัดระดับคลอเรสเตอรอล ผู้ที่อายุ 20 ปีขึ้นไป เป็นช่วงที่ควรเริ่มตรวจคลอเรสเตอรอล หลังจากนั้นตรวจเป็นประจำทุก 5 ปี หรือในรายที่มีบุคคลในครอบครัวมีคลอเรสเตอรอลสูงอาจต้องเริ่มตรวจเร็วขึ้น เนื่องจากความเสี่ยงทางพันธุกรรม หากมีคลอเรสเตอรอลสูง แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจบ่อยยิ่งขึ้น โดยระดับคลอเรสเตอรอลปกติควรต่ำกว่า 130 มิลลิกรัม/เดซิลิตร แต่ผู้ที่มีความเสี่ยงโรคหัวใจควรมีระดับไม่เกิน 100 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หรือหากเคยมีอาการของโรคหัวใจหรือเบาหวานเกิดขึ้นแล้วก็ควรควบคุมคลอเรสเตอรอลให้ต่ำกว่า 70 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
- ควบคุมระดับความดันโลหิต ควรตรวจวัดความดันโลหิตเป็นประจำอย่างน้อยทุก 1-2 ปี หรือในรายที่มีความดันโลหิตสูงกว่าปกติหรือเคยป่วยเป็นโรคหัวใจมาก่อน แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจบ่อยกว่านั้น โดยระดับความดันปกติควรอยู่ที่ 120/80 มิลลิเมตรปรอท
- ควบคุมอาการของโรคเบาหวาน ผู้ป่วยเบาหวานควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ให้สูงเกินพอดี จะช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจได้
- เลิกสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของการเกิดโรคหัวใจ โดยเฉพาะโรคหลอดเลือดแดง
- หมั่นออกกำลังกาย การออกกำลังกายช่วยควบคุมน้ำหนักและโรคเบาหวาน รวมถึงลดระดับคลอเรสเตอรอลและระดับความดันที่สูงลง ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจ
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ผัก ผลไม้ และธัญพืชทั้งหลายล้วนเป็นอาหารที่ดีต่อหัวใจ และมีไขมันอิ่มตัว คลอเรสเตอรอล โซเดียม และน้ำตาลปรุงแต่งต่ำ จึงมีส่วนช่วยในการควบคุมน้ำหนัก รวมถึงระดับความดันโลหิตและระดับคลอเรสเตอรอล
- ควบคุมน้ำหนัก ยิ่งมีน้ำหนักตัวเกินพอดีก็ยิ่งมีโอกาสเสี่ยงโรคหัวใจ เพื่อป้องกันจากโรคหัวใจควรมีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ไม่เกิน 25 และมีขนาดรอบเอวไม่เกิน 80 เซนติเมตรหากเป็นผู้หญิง และสำหรับผู้ชายไม่ควรเกิน 90 เซนติเมตร
- รักษาความสะอาด อยู่ให้ห่างจากผู้ป่วยติดเชื้อ ควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ล้างมือบ่อย ๆ และหมั่นรักษาความสะอาดของร่างกายและสภาพแวดล้อมอยู่เสมอ
- รู้วิธีรับมือกับภาวะซึมเศร้า ภาวะซึมเศร้าก็ส่งผลให้เสี่ยงโรคหัวใจได้ ผู้ป่วยจึงควรพูดคุยปรึกษากับแพทย์หากมีอาการหดหู่ เช่น รู้สึกสิ้นหวังหรือหมดความสนใจในการใช้ชีวิต เพื่อลดโอกาสการเกิดโรคแทรกซ้อนอย่างโรคหัวใจรวมถึงโรคอื่น ๆ ตามมา
- รู้จักจัดการกับความเครียด หมั่นผ่อนคลาย ให้มีความเครียดน้อยที่สุด อาจลองฝึกวิธีลดความเครียด เช่น ฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ฝึกหายใจเข้าลึก ๆ และนั่งสมาธิ